คำสั่ง Preference ใช้กำหนดสิ่งต่างๆบนโปรแกรม Photoshop เช่น ตัว Cursors กำหนดสีพื้นกระดาษ สเกล หรืออื่นๆ ที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของโปรแกรม แบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ ได้ 12 หมวด ดังข้างล่างนี้
1.ให้เปิดคำสั่ง Edit ก่อน แล้วเลือกคำสั่งย่อย Preference ตามลำดับ
2.จะมีหน้าต่างขึ้นมา มีรายการหลักๆ 12 รายการ คือ
General = เป็นการตั้งค่าทั่วไป เช่น ปรับสีกระดาษตามโหมด หรือ ตั้งค่าเปิดปิด ปุ่ม pallete อัตโนมัติ
Interface = สำหรับปรับแต่งพื้นกระดาษหน้าจอ ตามโหมดต่างๆ
File Handing =
Performance = ให้กำหนดหน่วยความจำของการใช้โปรแกรม Photoshop
Cursors = สำหรับปรับแต่ง Cursors
Transparency & Gamut = สำหรับตั้งหน้ากระดาษใหม่ให้มี Background เป็นโปร่งแสงแบบต่างๆ
Units & Rulers = ไว้ตั้งระบบสเกลบนโปรแกรม
Guides Grid Slices = ไว้ปรับแต่ง Guide Grid Slices
Plug - Ins=
Types =
3D =
Camera Raw =
ดังนั้น สำหรับตัวเลือกแรก คือ General มันจะเป็นการปรับแต่งโดยทั่วๆำไปของหลายๆอย่างบนหน้าจอโปรแกรม รายละเอียดแบ่งเป็นสองส่วน คือ
ท่อนบน จะเป็นการปรับ 2 อย่่าง คือ ปรับจานสีแบบ Adobe หรือ แบบ Windows กับอีกอันคือ การชดเชยส่วนของภาพที่หายไปตอนสั่งให้ภาพเปลี่ยนแปลงตามคำสั่ง Transform เช่น แบบ Bicubic(แบบนี้จะค่อนข้างชดเชยได้ดีที่สุด)
ส่วนอีกท่อนคือ Option จะมีคำสั่ง ดังนี้
Auto-Update Open Documents = เป็นการสั่งให้ Update รูปภาพที่เปิดใหม่โดยอัตโนมัติ
Beep When Done = กำหนดให้มีเสียงเตือน เมื่อการทำงานเสร็จ
Dynamic Color Sliders = กำหนดใสีของแถบเลื่อนบนหน้ากระดาษ เปลี่ยนสี เมื่อเลื่อนแถบเลื่อนนั้น
Export Clipboard = กำหนดให้ Export รูปภาพ ใน Clipboard ไปเปิดที่โปรแกรมอื่นได้
Use Shift Key for Tool Switch = สำหรับกด Shift ช่วยเมื่อกด คีย์ลัด ของ ToolBox ในชุดเดียวกัน
Resize Image During Paste/Place = กำหนดให้ ย่อขยายขนาดรูปภาพเมื่อมีการ Paste
Zoom Resizes Windows = กำหนดให้ย่อหรือขยาย Document เมื่อมีการย่อขยายมุมมองของพื้นที่
3.ตัวเลือกอันนี้ คือ แบบ Interface คือไว้ปรับสีของกระดาษหน้าใหม่ในโหมดแบบต่างๆ เช่น โหมด Standard,Full Screen แสดง Show Channels in Color สำหรับให้แสดง แชลแนลสีของรูปออกมา Show Tool Tips ให้แสดงคำอธิบายเมื่อเอาเม้าท์ไปชี้คำสั่งต่างๆ Auto-Collapse Icon Palettes แสดงโดยให้กำหนดการซ่อนไอคอนของพาเลตโดยเฉพาะ เป็นต้น ลองดูตามรูป แล้วนำไปลองปรับตั้งในโปรแกรม Photoshop ดู จะเห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงตามนั้น ลองบ่อยๆ เดี๋ยวจะชำนาญขึ้นเอง
4.ตัวเลือกนี้ ใช้สำหรับปรับคา ของการเซฟไฟล์เก็บไว้
5.เป็นตัวเลือก แสดงส่วนของหน่วยความจำที่ใช้งานเมื่อประมวลผลของโปรแกรม Photoshop ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
ส่วนแรกคือ Memory Usage = เป็นการกำหนดหน่วยความจำให้โปรแกรม Photoshop ได้ใช้สำหรับประมวลผล แบ่งเป็น Aviliable Ram คือ หน่วยความจำที่เหลืออยู่ปัจจุบัน ,Ideal Range คือ หน่วยความจำที่โปรแกรมทีทั้งหมดไว้ใช้งาน และ Let Photoshop Use คือ หน่วยความจำที่กำหนดไว้ให้โปรแกรมใช้
ส่วนที่สอง คือ History & Cath คือ สำหรับกำหนดให้ History pallete จำคำสั่งใช้งานได้ตามจำนวนที่กำหนด
ท่อนล่างสุด คือ Scratch Disks คือ กำหนดให้เลือก Drive ที่จะทำการ Scratch Disk
6.อันนี้จะเป็นตัวเลือก การปรับหัว Cursors ซึ่งมี 3 ส่วน คือ
แบบแรกคือ Painting Cursors = เป็นการปรับรูปแบบเครื่องมือที่เป็นแบบหัวแปรง โดยมีหัวแปรงลักษณะต่างๆ คือ
Standard = แบบเป็นรูปตัวแปรง
Precise = แบบเป็นเป้ากากบาทสี่เหลี่ยม
Normal Brush Tip = แบบวงกลมขนาดเล็ก มีสี่เหลี่ยมกากบาทข้างใน
Full Size Brush Tip = แบบวงกลมขนาดใหญ่ มีเป้าสี่เหลี่ยมกากบาทข้างใน
แบบที่ 2 คือ Other Cursors = เป็นการปรับรูปแบบที่ไม่ใช่เป็นแปรง เช่น หลอดดูดสี ให้มีหัว Cursors ลักษณะสองแบบ คือ
Standard = คือ เป็นแบบหัวหลอดดูดสี
Precise = วงกลมในเป้าสี่เหลี่ยม
ลองปรับดู แล้วจะเห้นว่า การลงสีมีความละเอียดละออแค่ไหนในการเลือกหัวแปรง ทั้งๆที่เป็นคอมพิวเตอร์แล้ว น่าจะนึกว่าง่ายๆ แต่แท้จริง ยังต้องมีการคัดสรรเครื่องมือ เช่นเดียวกับ การวาดด้วยกระดาษเปล่าธรรมดา
7.ตัวเลือกนี้คือ Transparency Setting คือปรับค่าสีและขนาดชอง Grid ตอนที่เราสร้างหน้ากระดาษใหม่ๆ ด้วยคำสั่ง File > New
8.ส่วนตัวเลือกแบบ Unit&Rulers จะเป็นตัวเลือกแบบกำหนดหน่วยวัดบนโปรแกรม แบ่งออกเป็น 4 ท่อน คือ
ท่อนแรก คือ Units = เป็นหน่วยวัดบนไม้บรรทัดของหน้ากระดาษ โดยแยกเป็น ตั้งหน่วยวัด เช่น Pixels,Inches,Cm , mm ,points ,Picas ,Percent กับ ตั้งลักษณะการวัด เช่น วัดด้วย pixels , Point, mm
ท่อนที่สอง คือ Column Size = เป็นการกำหนดขนาดคอลัมภ์ของโปรแกรม
ท่อนที่สาม คือ New Document Preset Resolution = คือ การกำหนดความละเอียดของ 2 ส่วนงานคือ Print Resolution(คือ กำหนดความละเอียดสำหรับการพิมพ์) กับ Screen Resolution (คือ กำหนดความละเอียดบนหน้าจอคอม)
ท่อนสุดท้าย คือ Point/Pica Size = คือ การเลือกระบบมาตราฐานการวัด แบบ Postscript กับแบบ Traditional
9.และท่อนนี้เกี่ยวกับตัวเลือกแบบ Guides Grid Slices ในตารางนี้จะมี 4 ท่อนย่อย คือ
ท่อนแรก คือ Guides = ปรัับเส้นและสีของ Guides
ท่อนที่สอง คือ Smart Guides = ใช้ปรับเส้นและสีของ Smart Guides
ท่อนที่สาม คือ Grid = ใช้กำหนดสี ระยะ ช่องภายใน รวมถึงลักษณะเส้น Grid
ท่อนสุดท้าย คือ ท่อนที่สี่ คือ Slices = ใช้กำหนดสี Slices และแสดง Slice Number
10.ตัวเลือกนี้ เป็น Plug - in สำหรับกำหนดให้สร้าง Folder ของ Plug in ในไดร้ไว้ เพื่อเชื่อมต่อกับ Internet ภายนอกโปรแกรม
11.ตัวเลือกนี้ สำหรับ การกำหนดตัวอักษรบนโปรแกรม
12.และ ตัวเลือกนี้ เป็นการกำหนด 3D
13. อันนี้เป็น การกำหนด เชื่อมต่อกับ ไฟล์ Raw
เรื่อง Convert to profile นี้สำคัญ เราจะมาพูดถึงเรื่องของสีบนหน้าจอ กับสีที่มาจากแหล่งอื่น เช่น จากกล้อง จากสแกนเนอร์ จากเครื่องปริ้นซ์ค่ายต่างๆ เยอะค่ายไปหมด ไหนจะหน้าจอคอมของเราเอง แล้วยังไฟล์ภาพที่เซฟชนิดสีบนไฟล์ มาไม่เหมือนกัน ทำให้เวลาเรามาเปิดใช้งาน ไม่ว่าบนหน้าจอสีจะเพี้ยน หรือคล้ายคลึง แต่ตอนปริ้นซ์งานหรือสแกนอะไรก็ตามที สีมันกลับผิดเพี้ยนไป สาเหตุมาจาก การที่เราตั้งค่าใน Profile แตกต่างกัน ทำให้โปรแกรมแต่ละอัน มันตีความหมายไปคนละอย่าง เช่น ใช้ระบบสีของค่ายยุโรป อเมกา ญี่ปุ่น หรือ อื่นๆกันไป ดังนั้นเหล่านี้ เราจะต้องมาตั้งค่า ที่คำสั่ง Convert to Profile (แต่โดยส่วนใหญ่ งานของผมจะไม่ค่อยพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่ ดังนั้น ความชำนาญการของท่านอื่นที่อยู่ในวงการ Printing น่าจะกระจ่างกว่าผมนัก ผมขออธิบายพอสังเขปเท่านั้น)
1.เปิดรูปภาพดาวพระเสาร์
2.เมื่อเปิดไฟล์ภาพที่นำมาจากแหล่งอื่น แล้วตั้งค่าไม่เหมือนเครื่องของเรา ให้เราทำการเลือก คำสั่ง Edit > Convert to Profile คำสั่งนี้มันจะเป็นการแปลงค่าไฟล์ภาพจากแหล่งอื่น หรือ ปรับภาพบนหน้าจอของเราให้ตรงกับอุปกรณ์ต่อพ่วง เมื่ออุปกรณ์ต่อพ่วงมันเข้าใจระบบสีเหมือนกับเราแล้ว การพิมพ์งานหรือ อื่นๆ ก็จะได้ผลออกมาใกล้เคียงกัน
3.จะได้หน้าต่าง Convert to Profile ขึ้นมา
Source Space = เป็น Profile ที่เราเปิดอยู่ตอนนี้
Destination Space = คือ โหมดของมาตราฐานการสร้างสีของแหล่งต่างๆ เช่น จากอเมกา ญี่ปุ่น ยุโรป หรือ อื่นๆ และเราก็สามารถสร้างโหมดของเราเองได้ด้วย แต่คนทั่วไปก็ย่อมไม่รู้จักโหมดของเรานั่นเอง
4. Destination Space = คือ โหมดของมาตราฐานการสร้างสีต่างๆ มีมาตราฐาน จากแหล่งตามรายการข้างล่าง แล้วแต่ใครจะเลือกใช้
หัดลองปรับใช้จนเข้าใจ ก็จะรู้ว่า โหมดเหล่านี้มีความสำคัญไม่น้อย
คำสั่ง Define Custom Shape เป็นคำสั่งที่สร้าง Shape ไว้ใช้งานเช่นเดียวกับ สร้าง Pattern หรือสร้าง Brush นั่นเอง โดยมีวิธีดังนี้
1.เปิดกระดาษเปล่าขึ้นมา แล้วใช้ Pen Tool เขียนเส้นสามเหลี่ยมสีน้ำเงิน
2.เสร็จแล้วก็เปิดคำสั่ง Edit > Define Custom Shape
3.มันจะได้หน้าต่าง Shape ขึ้นมา ให้เราตั้งชื่อ Shape ตามที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม OK เป็นอันเซฟรูปร่างที่ต้องการไว้ เปิดใช้งานอีก
4.เราลองเปิดดู โดยเลือก Custom Shape Tool บน Tool Box มันจะมีแถบด้านบนคือ Custom Shape Picker ซึ่งในนั้นจะมี Shape ที่เราเซฟเก็บไว้ อยู่ในโหมดนี้ด้วย
5.และเลือกโหมดนี้ เราจะได้ Shape รูปร่างสามเหลี่ยมด้านเท่า บน Tool Box ในตัวเลือก Custom Shape Tool เมื่อกดเม้าท์ลงบนกระดาษ ก็จะได้รูปสามเหลี่ยมสีน้ำเงินทุกครั้ง จากรูป Shape ที่เราเลือกไว้
นี่คือความมีประโยชน์ ของ Photoshop ที่สามารถเก็บรูปร่างหรือสร้างใหม่ ขึ้นมาของรูปร่างต่างๆ ไว้ใช้งาน เราลองใช้บ่อยๆ เดี๋ยวจะเห็นความสำคัญของคำสั่งนี้
คำสั่ง Stroke กับคำสั่ง Fill มักจะเป็นคำสั่งที่ใ้ช้บ่อยมากในการลงสีกราฟฟิค อย่ามองข้ามไปเลยเชียวนะ ฝึกใช้บ่อยๆจนคล่อง Stroke จะใช้สำหรับสร้างขอบของเส้นรูปภาพ ตอนนี้ผมจะขออธิบายไว้แค่พอสังเขปก่อน แต่ถ้าฝึกใช้หรืออยู่ในวงการกราฟฟิคไปนานๆ จะเห็นประโยชน์ของมันมากมายมหาศาล สนุกกับการใช้ของมันเข้าไว้จะได้ไม่เบื่อ
1.เปิดรูป โต๊ะขึ้นมา
2.ใช้คำสั่ง Edit > Stroke คำสั่งนี้จะใช้บ่อยๆแบบ คำสั่ง Fill
3.จะได้หน้าต่าง Stroke ขึ้นมา มันจะมี 3 ท่อน คือ ท่อนของ Stroke ไว้ปรับความกว้างและสีของเส้น ส่วนท่อนที่ 2 คือท่อนของ Location คือ ตำแหน่งที่ให้เกิดเส้นขึ้นมา ได้แก่้ จากขอบใน ขอบตรงกลางและขอบนอกสุด และท่อนสุดท้ายคือท่อนที่ 3 คือ ท่อนของ Blending คือไว้ปรับสีสันแสง ของเส้นขอบ ให้มีแนวสีต่างๆตามฟิลเตอร์
4.ท่อนของ Blending จะมีในแสดงให้เลือกทำงานในหลายๆ คำสั่ง ในคำสั่ง Stroke ก็จะมีเช่นกัน ซึ่งไว้สำหรับปรับกรองตัวเส้นให้มีสีแสง โดยใช้ฟิลเตอร์ชนิดต่างๆ ตามในรูป และตอนนี้คงจะไม่บรรยายรายละเอียด แต่ลองปรับดูบ่อยๆ แล้วจะเข้าใจในการทำงานของโหมดนี้
5.หลังจากตั้งค่าตามข้อ 4 แล้ว ผลออกมาจะได้ตามรูป ตอนนี้อาจจะยังนึกไม่ค่อยออกว่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเราเข้ามาแต่งภาพในวงการกราฟฟิคบ่อยๆเข้า จะรู้ว่า คำสั่งในการแต่งขอบภาพนั้น มีความหมายในระดับเบสิกเอามากๆ รวมถึงขั้นสูง ก็สามารถนำไปใช้งานได้เยอะเอาทีเดียว เช่น นำไปเขียนขอบผิวหนังของรูปบุคคลได้
ฝึกคำสั่งนี้ไว้เยอะๆ จะได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานให้เกิดประสิทธิผลอย่างสูงได้ เพราะเมื่อวันหน้าเราไปเจอชิ้นงานที่ยาก เราก็จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ โดยราบรื่น
Fill เป็นคำสั่งไว้สำหรับเติมสีลงบนภาพในส่วน Selection ซึ่งเติมสีได้ทั้ง ภาพRaster หรือแบบ Vector ก็ได้ แต่ก่อนจะเติมเราจะต้องเลือกด้วยว่า จะเติมสีในประเภทไหน เช่น จากถาดแม่สี จากแพทเิทิร์น รวมทั้งสามารถปรับชนิดเลเยอร์นั้นๆได้ด้วยตัวเลือก Blending มันทำให้เลเยอร์ที่เราใช้งานอยู่ ดีมีสีสันสวยงามขึ้น เสริมให้ดูเนียนด้วย
1.เปิดรูป ทะเลขึ้นมา แล้วใช้ Selection เลือกกลุ่มพุมไม้ (ตามในรูปวงกลมสีแดง) มันจะมีเส้นประไข่ปลาล้อมรอบ
2.แล้วก็เอาเม้าท์ไปเลือกคำสั่ง Edit > Fill แค่นั้นแหระ จะมีหน้าต่าง Fill ปรากฏขึ้นมา
3.ในหน้าต่างนี้ จะแบ่งเป็น 2 ท่อน ท่อนบน คือ Content ส่วนท่อนล่าง คือ blending (เป็นอันเดียวกันกับที่อยู่ในหน้าต่าง Layer)
4.สำหรับท่อนบน ถ้ากดบนตัวลูกศรชี้ลง จะเกิดตัวเลือกย่อยๆให้ปรับแต่ง ดังนี้
Foreground Color = คือเอาสีใน Tool Box (สีบนแผ่นหน้า ที่ซ้อนทับแผ่นหลัง จะเป็น Foreground)มาเทลงใน Selection ที่เลือกไว้
Background = คือเอาสีใน Tool Box (สีบนแผ่นหลัง ที่ถูกแผ่นหน้าซ้อนทับอยู่ จะเป็น Background)มาเทลงใน Selection ที่เลือกไว้
Color = เปิดตารางสีขึ้นมา แล้วให้เราเลือกสีที่ต้องการเพื่อเติมใน Selection
Content - Aware = ดึงภาพใน Selection ออก เพื่อเหลือพื้นหลังแล้วปรับสีเป็นแบบเดียวกับ Background
Pattern = สำหรับเลือกลายแพทเทิร์น ในตารางแพทเทิร์น มาใส่แทนใน Selection ที่เลือกไว้
Black = กำหนดสีใน Selection ให้เป็นสีดำ
50% Gray = กำนหนดสีใน Selection ให้เป็นสีเทา แต่ลดความเข้มสีลง 50%
White = กำหนดสีใน Selection ให้เป็นสีขาว
เมื่อเลือกสีได้ตามที่ต้องการให้กดปุ่ม OK จะเห็นสีที่เราเลือกไว้ไปปรากฏใน Selection แทนสีเดิม
5.ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่เอาสีจาก Foreground มาใส่ใน Selection ที่เลือกไว้ หาก Foreground เป็นสีอะไร ใน Selection ก็จะได้ตามนั้น เช่น เราเอาหลอดดูดสีไปดูสีจากภาพอื่นมา จะไ้ด้ Foreground เป็นสีนั้น แล้วก็สามารถเอามาเทลงบน Selection นี้ได้
6.ถัดมา ก็เป็นการเลือกเอาสีจาก Background มาเช่นกัน มาเทสีใส่ในตัว Selection
7. ส่วนอันนี้จะเป็นการเลือกสีมาจาก ตารางแม่สี เราเลือกสีไหนสีนั้นก็จะถูกนำไปเทลงใน Selection เช่นกัน
8.และอันนี้เป็นการใช้ตัวเลือก Content Aware มันจะลบภาพใน Selection ที่เราเลือกไว้ แล้วปรับให้พื้นใน Selection นั้น กลายเป็นสีกลมกลืนกับ Background ของภาพ เสมือนราวๆกับว่า เราได้ทำวัตถุ สิ่งของ หรือภาพ เช่น คน หมา แมว ต้นไม้ ให้หายไป เหลือแต่ฉากหลังแค่นั้น นั่นก็คือ ลบบางส่วนของภาพออกไปจากรูปนั่นเอง
9.อันนี้คือ การเลือก Pattern เพื่อใส่ลงใน Selection
10.มาถึงอันสุดท้าย คือส่วนท่องล่างของหน้าต่าง Fill จะมี Blending ให้เลือกเลเยอร์สวยๆแบบต่างๆ เพื่อทำให้ภาพที่ได้ออกมามีสีสัน แสงไฟ ตกกระทบในรูปแบบต่างๆ ภาพที่ได้ก็จะดูสมจริงสมจังมากขึ้น ลองปรับแต่ละอันดู แต่ลองไปหาภาพที่เหมาะกับการปรับแต่ง จะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
พอได้ศึกษา แล้วต้องฝึกฝนใช้คำสั่งนี้บ่อยๆ เพราะจะรู้ว่า คำสั่งนี้มันมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว
คำสั่ง Content Aware Scale เป็นคำสั่งน่าสนใจมากเลยทีเดียว คำสั่งนี้ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร คล้ายกับคำสั่ง Free Transform แต่จริงๆแล้ว มันจะเป็นคำสั่งที่ใช้เลือกพื้นหลัง หลังจากเราใช้คำสั่ง Selection เลือกชิ้นส่วนของรูป Foreground เช่น ตัวคน สุนัข ต้นไม้เด่นๆ หรือจุดที่เราจะเน้นไว้ เราจะใช้คำสั่ง Selection เลือกและเซฟเอาไว้ก่อน หลังจากนั้น เราจึงใช้คำสั่ง Content Aware Scale เพื่อยืดหรือ หด รูปร่างของ Background ให้มีภาพพื้นหลังที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเทียบกับรูปที่เราใช้ Selection เลือกเอาไว้ โดยที่รูปที่เราใช้ Selection เซฟไว้ มันจะไม่เปลี่ยนแปลงขนาดไปเมื่อเทียบกับภาพ Background เดี๋ยวเราดูไปทีละขึ้นเลยดีกว่า มันจะซับซ้อนหน่อย แต่ดูไปซักพัก จะเข้าใจเอง
1.เปิดรูปดวงอาทิตย์ขึ้นมา
2.แล้วใช้ Quick Selection Tool เลือกตัวดวงอาทิตย์ในรูป มันจะเกิดเส้นประไข่ปลา ขึ้นมา
เห็นยังมันจะมีเส้นประรอบๆดวงอาทิตย์ แสดงว่า เราได้กำหนดพื้นที่ขอบเขตที่ทำการ Selection ไว้แล้ว เหลือแค่สั่งการว่าจะให้มันเปลี่ยนแปลงอย่างไร
3.แต่อันนี้เราจะใช้คำสั่ง Content Aware Scale เพื่อแทนที่จะปรับตัว Forground คือตัวดวงอาทิตย์ เหมือนคำสั่ง Free Transform เรากลับจะใช้การปรับตัว Background แทนโดยล็อคตัวดวงอาทิตย์ให้คงที่ไว้แทน ถ้าเช่นนั้น แทนที่เราจะ Selection ดวงอาทิตย์ไว้ งั้นเราใช้คำสั่ง Inverse แทน โดยเลือก Selection > Inverse โดยจากเดิมที่เลือก Selection ไว้ที่ดวงอาทิตย์ แต่ตอนนี้กลับกัน มันจะกลายเป็นเลือกสิ่งที่อยู่ตรงกันในรูป ที่เลือกไว้ กลายเป็นเลือกอีกส่วนนึงแทน ในที่นี้คือ กรอบทั้งหมดของรูป ยกเว้นดวงอาทิตย์ สังเกตได้จากมีเส้นประไข่ปลารอบกรอบรูปทั้งหมดแทน เหลือไว้แค่ตัวดวงอาทิตย์แค่นั้น ดังนั้น การจะทำให้ฉากหลังย่อลงแล้วดวงอาทิตย์ดูเสมือนใหญ่เต็มฉากหลัง ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ใช้วิธีแบบนี้แหระ กับภาพต่างๆ หลักการเดียวกัน
4.ผลออกมา มันจะเลือกภาพทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่เป็นดวงอาทิตย์ โดยสังเกตุเห็นจากเส้นประไข่ปลา ล้อมรอบทุกส่วนของรูป ยกเว้นตัวดวงอาทิตย์เท่านั้น
5.เสร็จแล้ว เราค่อยเซฟส่วนกรอบรูปทั้งหมดไว้เป็น Selection โดยเลือกคำสั่ง Selection > Save Selection
6.ภาพออกมา ก็ยังจะเหมือนเดิม คือกรอบทั้งหมดถูกเลือกไว้แล้ว ยกเว้นตัวดวงอาทิตย์แค่นั้น
7.หลังจากนั้น เราจึงค่อยใช้คำสั่ง Edit > Content Aware Scale เพื่อเลือกส่วนที่เป็น Selection ไว้ปรับขนาดหรือระยะได้ตามต้องการ
8.ภาพจะเกิดเส้นกรอบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ รอบรูปจำนวน 9 จุด เพื่อแสดงว่า คำสั่ง Content Aware Scale สามารถใช้งานได้แล้ว คือ เลือกปรับระยะได้ตามใจชอบ
9.แล้วเราก็ใช้เม้าท์ ลากส่วนที่เ็ป็นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ 9 จุด หดลงมา ทุกๆด้าน เพื่อให้ภาพ Background ถูกบีบอัดลงให้พอดีกับ ภาพชิ้นงาน โดยที่ดวงอาทิตย์ไม่เปลี่ยนแปลง
10.เสร็จแล้ว เอาเม้าท์นี่แหระไปคลิ้กที่คำสั่ง Rectangular Maquee Tool มันจะเกิดคำเตือนขึ้นมาว่า ตัวกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ รอบรูปนั่นที่สร้างไว้ เราจะ Apply กับรูปให้กลายเป็นรูปปกติได้แล้วใช่ไหม ดังนั้น ให้เรากดปุ่ม OK เส้นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆทั้งหมด ก็จะหายไป เหลือไว้แค่รูปภาพ ที่เราย่อสัดส่วน Background ไว้แล้วเท่าันั้น
11.ผลลัพธ์ ออกมา ได้รูปดวงอาทิตย์ดูใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับ ฉากหลัง แต่ที่แท้ เราปรับฉากหลังให้เล็กลงเองนั่นแหระ ดวงอาทิตย์มันยังมีขนาดเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
ผลออกมา มันจะเหมือนกับว่าเราใช้กล้องซูมภาพดวงอาทิตย์ให้เข้าใกล้ขึ้น ทำให้เห็นดวงอาทิตย์เกือบจะเต็มกรอบรูป ในขณะที่ท้องทะเล เรียบเท่าเดิม เทคนิคนี้นิยมกันมากพอสมควร แล้วถ้าฝึกทำบ่อยๆ มันก็จะคล่องทำให้ได้ภาพไวขึ้นเยอะ
คำสั่ง Variables คำสั่งนี้ ค่อนข้างจะมีขั้นตอนใช้ที่ซับซ้อนหน่อย มันเป็นคำสั่ง ที่ให้เราสร้างเลเยอร์เปล่าบนเลเยอร์รูปภาพ แล้วหลังจากนั้น จะสามารถดึงไฟล์อื่นมาแปะลงบนเลเยอร์เปล่าอันบนได้ คำสั่งนี้มันจะคล้ายๆคำสั่ง Apply Image คือเหมือนเอาแผ่นใสเปล่าทับบนแผ่นใสรูปภาพ แล้วไปหยิบเอาแผ่นใสตัวอักษรหรือแผ่นใสรูปอื่น มาแปะทับลงบนแผ่นใสเปล่าซึ่งก็เท่ากับว่า เป็นการเอาแผ่นใส 2 แผ่นนั่นแหระ ซ้อนทับกัน ผลก็คือ ได้ภาพสองอันซ้อนกัน ทำให้ภาพดูสวยงามขึ้น แต่คำสั่ง Variables มันจะดูยุ่งยากกว่าหน่อย คำสั่งนี้ เหมาะสำหรับ เราเปิดไฟล์ภาพหลายๆไฟล์ แล้วเอาไฟล์ตัวอักษรแปะลงไป ทำให้ได้พวกนามบัตร โลโก้ หรือสติ๊กเกอร์เยอะๆ โดยไม่ต้องมานั่งทำทีละอันไง หรือ ภาพอะไรก็ได้ที่เราต้องการทำปริมาณมากๆ นี่แหระคือข้อดีของคำสั่งนี้ ดังนั้น เรามาดูไปทีละขั้นตอนเลย จะได้เข้าใจ
1.เปิดรูป ดวงอาทิตย์ขึ้นมา พร้อมกับไฟล์รูปตัวอักษร "wichagraphic" แต่ว่าไฟล์ตัวอักษรต้องทำให้พื้น Background ของตัวอักษรเป็นพื้นโปร่งแสงเสียก่อน(ตามในรูปพื้นจะเป็นตารางๆเส้นโปร่งแสง) เพราะเวลาไฟล์นี้ไปซ้อนทับตัวอักษร จะได้เห็นทะลุพื้นหลังไปถึงเลเยอร์ดวงอาทิตย์ และไฟล์ตัวอักษรต้องเซฟในรูปนามสกุล .psd
2.แล้วเราก็สร้างเลเยอร์เปล่าขึ้นบน เลเยอร์ดวงอาทิตย์
3.เสร็จแล้วก็เลือกคำสั่ง Image > Variables เลย
4.จะได้หน้าต่าง Variables แล้วเราก็ตั้งชื่อ เลเยอร์เปล่าที่อยู่บนเลเยอร์รูปดวงอาทิตย์ ในช่อง Layer ว่า "Graphic" ไว้สำหรับเอาไฟล์รูปตัวอักษรใส่ลงบนเลเยอร์นี้ เสร็จแล้วก็ให้ติ๊กถูกลงบน Pixel Replacement ส่วนในช่อง Name คือให้ตั้งชื่อตามไฟล์ตัวอักษรที่เซฟไว้แต่แรกรอไว้ก่อน ในช่อง Method จะมีตัวเลือก 4 แบบให้เลือกคือ
Fit = กำหนดให้ด้านที่ยาวสุดของภาพที่ใส่ลงไปในกรอบที่กำหนดให้ได้
Fill = ถ้าภาพล้นกรอบ ให้กำหนดส่วนของด้านของภาพที่ไม่ล้นให้เต็มกรอบพอดี ด้านที่ล้นก็ปล่อยให้ล้น
As is = ถ้าภาพที่แทรกเข้ามาล้นกรอบ ก็ปล่อยให้ล้นตามนั้น
Conform = บีบอัดภาพให้ย่อลงในกรอบ ดังนั้นสัดส่วนของภาพมันจะเปลี่ยนไปหมด เพราะทุกด้านโดนบีบให้ใส่ในกรอบทั้งหมด
ส่วน Alignment ให้เรากดจุดเล็กๆสีดำ ลงตำแหน่งในกรอบที่เราต้องการให้เลเยอร์อักษรปรากฏตามจุดสีดำ
เมื่อกำหนดรายการเสร้จ ให้กดปุ่ม Next หรือ กดปุ่ม Define อันใดอันนึงก็ได้เช่นกัน มันจะเปลี่ยนหน้าเข้าสู่โหมด Data Sets
5.พอเข้าโหมด Data Sets แล้วให้กดปุ่มข้างๆ ถังขยะ(ในวงกลมสีแดง)
6.มันจะปรากฏชื่อไฟล์ตัวอักษรไว้ใน Data Sets กับ ชื่อเลเยอร์เปล่า คือ Graphic ดังนั้นให้เราเลือก Select File โดยเปิดไฟล์ตัวอักษร(wicha.psd) พอเสร็จแล้ว ถือเป็นอันจบขั้นตอน แล้วกดปุ่ม Apply เพื่อยืนยันการประยุกต์ใช้งาน แล้วกดปุ่ม OK
7.ผลออกมา คือ ได้ตัวอักษรซ้อนทับบนเลเยอร์รูปภาพ กลายเป็นภาพสวยงามขึ้น
หลักการนี้นำไปใช้ในการ ทำงานปริมาณเยอะๆ เช่น พิมพ์ลงบนโลโก้เยอะๆ หรือ นามบัตนหลายๆแบบ หรือ แม้กระทั่งแม็กกาซีนหลากหลาย ได้เช่นกัน